RED ผู้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของกล้องระดับโปร ที่หันเข้าสู่ตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างตลาดสมาร์ทโฟน ด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแรกเมื่อปี 2017 ในชื่อ RED Hydrogen One มือถือที่รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งมีจุดขายที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยคือเรื่องของกล้อง แต่ทำไปทำมาอีท่าไหนไม่รู้ เพราะกว่าจะได้ออกวางขายจริงก็ปาเข้าไปช่วงปลายปี 2018 ไปแล้ว.
ด้วยราคาที่สูงถึง 1,295 เหรียญฯ แต่ด้วยเพอร์ฟอร์มแมนส์ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรเมื่อเทียบกับมือถือในเรทราคาใกล้เคียงกัน
และกล้องก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับความเป็นแบรนด์กล้องมาก่อน นั่นทำให้ RED Hydrogen One ทำยอดขายได้ไม่สู้ดีนัก. แต่ถึงกระนั้น RED ก็ยังไม่ถอดใจ และได้ออกประกาศว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโปรเจ็ค Hydrogen Two เมื่อช่วงเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา พร้อมเผยแนวคิดการพัฒนากล้องคุณภาพระดับ cinema ในราคาที่จับต้องได้.
แต่ล่าสุด ฝันทั้งหลายก็ต้องดับลงเมื่อ Jim Jannard ผู้ก่อตั้ง RED ได้ออกมาประกาศเกษียน และยุติโปรเจ็ค Hydrogen ด้วยที่เขาอายุปาเข้าไป 70 ปีแล้ว บวกกับปัญหาสุขภาพที่รุมเร้า.
ไม่มีรายงานว่าโปรเจ็ค Hydrogen จะส่งต่อให้ใครมารับช่วงต่อแต่อย่างใด แต่บริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจในสายงานที่ถนัดอย่าง Digital Cinema ต่อไป. ขณะที่ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟน Hydrogen One อยู่จะไม่ได้ถูกลอยแพแต่อย่างใด, Hydrogen One จะยังคงได้รับการอัพเดตต่างๆต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนานเท่าไหร่นะ.
เรียกได้ว่าเอาใจผู้ที่รักการใช้รถใช้ถนนกันเต็มที่เลยทีเดียวสำหรับ Google ที่ล่าสุดได้มีการเพิ่มฟีเจอร์เจ๋งๆใหม่ๆมากมานบน Google Maps ที่ให้ผู้ใช้ได้สามารถรายงานอุบัติเหตุบนท้องถนน, รายงานสภาพการจราจรและรถติดหรือแม้กระทั่งจุดที่มีการตรวจจับความเร็ว. นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถรายงานหากมีการก่อสร้างบนท้องถนน, รายงานการปิดเลนต่างๆ แม้กระทั่งรถเสียหรือสิ่งกีดขวางบนท้องถนน. คูรสามารถเพิ่การรายงานเหล่านี้เข้าไปบนเส้นทางที่คุณกำลังใช้เดินทางได้.
ฟีตเจอร์ต่างๆเหล่านี้อาจจะดูใหม่สำหรับ Google Maps แต่ในแอ้พ Waze(ที่มี Google เป็นเจ้าของ) เหล่านี้คือฟีเจอร์หลัก ซึ่งการเปิดฟีตเจอร์เหล่านี้เข้ามา ก็ยิ่งทำให้ Google Maps เริ่มจะเหมือน Waze เข้าไปทุกที ตัวอย่างเช่นการเพิ่มฟีตเจอร์ที่สามารถบอกจุดตรวจจับความเร็วได้ในกว่า 40 ประเทศ, รายงานสภาพการจราจร, การหาจุดจอดระหว่างเดินทางหรือแม้กระทั่งบอกราคาน้ำมัน. เหล่านี้ล้วนประยุคต์มาจากฟีจเจอร์ของ Waze ทั้งนั้น.
แต่ถึงแม้จะมีฟีเจอร์เหล่านี้เพิ่มเข้า แต่ก็ดูเหมือนว่า Waze ยังคงเป้นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากว่าในการวางแผนการเดินทาง ด้วยความสามารถในการเชือมต่อกับกิจกรรมและนัดหมายต่างๆบนปฏิทินและเฟสบุ๊คของคุณได้ ขณะที่ Google Maps จะเน้นไปที่เรื่องของเส้นทางและการเดินทางมากกว่า.
อย่างไรก็ตาม หากการเพิ่มฟีตเจอร์เหล่านี้สามารถดึงดูดให้นักเดินทางหันมาใช้ Google Maps เพิ่มมากขึ้นได้ก็จะเป็นผลดีต่อ Google ในการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาใช้กับโปรดักตัวอื่นๆต่อไป.
ฝรั่งทดสอบ iPhone 11 และ 11 Pro จะกันน้ำได้ดีจริงเหมือนที่ Apple บอกหรือไม่
ฟีเจอร์กันฝุ่นกันน้ำในอุปกรณ์เทคโนโลยีในสมัยนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่หลายค่ายผู้ผลิตให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในสายงานสมาร์ทโฟน ที่กำลังมีการแข่งขันสูง การเพิ่มฟีเจอร์กันน้ำกันฝุ่นเข้าไปก็จะช่วยเพิ่มจุดแข็งให้กับสินค้านั้นๆไปด้วย. Apple ก็เป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ให้ความใส่ใจในเรื่องขีดความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตัวสินค้าให้กับผู้บริโภคและความทนทานของตัวสินค้าเองด้วย.
โปรดักรุ่นล่าสุดของ Apple อย่าง iPhone 11 ทั้งสามรุ่น ที่มีฟีเจอร์กันน้ำกันฝุ่นที่เรียกว่าอยู่แนวหน้าของสายงานเลยก็ว่าได้ ด้วยเรท IP68 ทาง Apple เคลมว่า iPhone 11 สามารถกันน้ำที่ความลึกสุด 2 เมตร ได้นานถึง 3o นาที ขณะที่ในรุ่น 11 Pro และ 11 Pro Max กันได้ลึกสุด 4 เมตร นานกว่า 30 นาที ซึ่งถือว่าทนทานมาก, แต่ถ้าลงไปลึกกว่านั้นล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น?
ล่าสุดเว็ปไซต์ชื่อดังอย่าง Cnet.com ได้มีการทำกรทำสอบขีดสุดความสามารถในการกันน้ำของ iPhone 11 และ 11 Pro โดยการติด iPhone ทั้งสองรุ่นเข้ากันโดรนใต้น้ำที่สามารถดำได้ลึดถึง 328 ฟุต. การทดสอบมีทั้งหมด 3 ความลึกคือ 13 ฟุต(ประมาณ 4 เมตร) 26 ฟุต(ประมาณ 8 เมตร) และลึกสุด 39 ฟุต(ประมาณ 12 เมตร) โดยจะแช่อยู่ในน้ำ 30 นาทีในทุกๆความลึก.
ผ่านไป 30 นาทีที่ความลึก 4 เมตร iPhone ทั้งสองยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่ลำโพงมีอาการเสียงแตกเล็กน้อย. ระยะที่ 2 ที่ความลึก 8 เมตร ที่เกินขีดความสามาถที่ทาง Apple บอกไว้ หลังจากผ่านไป 30 นาที ทั้งสองเครื่องยังทำงานได้ตามปกติ จอสัมผัสลื่นไหลเหมื่อเดิม กล้อง ทุกอย่างเป็นปกติ เว้นแต่ลำโพงใน iPhone 11 เสียงเบากว่า 11 Pro. ที่ระยะความลึกสุดท้าย 12 เมตร ผ่านไป 30 นาทีปรากฏว่า ทั้งสองเครื่องยังทำงานเป็นปกติทุกอย่าง เว้นแต่เรื่องเดียวคือลำโพง ที่ให้เสียงที่คมชัดน้อยลง.
สรุปได้ว่า iPhone 11 และ 11 Pro มีขีดความสามารถในการกันน้ำได้ดีกว่าที่ทาง Apple ได้เคลมไว้ มากพอสมควร แต่ถึงอย่างไร ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปทำตกเลย เพราะราคามันแพงงงงง!!!
ขณะที่ทางผู้พัฒนาแอ้พนี้ได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาของหน่วยงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของฮ่องกงว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่มีหลักฐานใดๆมาสนับสนุนเลย แอ้พนี้ไม่ได้มีการส่งเสริม ยุยงให้เกิดการก่ออาชญากรรมใดๆ มีแค่การรวบรวมข้อมูลเท่านั้น.
แนะนำ : ดูดวงไพ่ยิปซี | รีวิวที่พัก | รีวิวคาเฟ่ | วิธีลดน้ำหนัก | รีวิวอนิเมะ ญี่ปุ่น